กระบวนเรือฯถวายผ้าพระกฐิน
เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2549 ที่ผ่านมานั้น ปวงชนชาวไทยได้สัมผัสถึงการแสดงขบวนเรือพระราชพิธี ในงานฉลองการครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตั้งแต่บริเวณท่าวาสุกรีจนไปสิ้นสุดบริเวณวัดอรุณราชวรารามฯ ซึ่งถือเป็นมรดกทางวัฒนธรรมอันทรงคุณค่าที่ปัจจุบันเหลืออยู่เพียงแห่งเดียวในโลกที่ได้ปรากฏความยิ่งใหญ่ต่อหน้าพระประมุขและนานาประเทศมาปลายปีนี้ ในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2550 เป็นอีกวาระหนึ่งที่ปวงชนชาวไทย จะได้สัมผัสกับความวิจิตรงดงามยิ่งใหญ่ของกระบวนเรือพระราชพิธี “พยุหยาตราทางชลมารค”(การเสด็จพระราชดำเนินทางน้ำ) ที่จะจัดขึ้นใน “งานพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายผ้าพระกฐิน”ไปยังวัดอรุณราชวรารามฯซึ่งงานพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายผ้าพระกฐินไปยังวัดอรุณราชวรารามฯครั้งนี้ เรียกได้ว่าเป็น “กฐินหลวง” คือ กฐินที่พระเจ้าแผ่นดินทอดถวายแก่สงฆ์ผู้จำพรรษาในวัดหลวง คือ วัดในพระพุทธศาสนาที่ได้รับยกย่องสถาปนาให้เป็นวัดพิเศษจากวัดราษฎร์ทั่วไปเรียกเต็มว่า “พระอารามหลวง”วัดที่จะได้รับสถาปนาเป็นพระอารามหลวงนั้น ปัจจุบันมีทั้งสิ้น 16 วัด ได้แก่ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม กรุงเทพมหานคร, วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ กรุงเทพมหานคร, วัดสุทัศน์เทพวราราม กรุงเทพมหานคร, วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพมหานคร, วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม กรุงเทพมหานคร,วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม กรุงเทพมหานคร ,วัดราชประดิษฐ์สถิตมหาสีมาราม กรุงเทพมหานคร,วัดเทพศิรินทราวาส กรุงเทพมหานคร,วัดราชาธิวาส กรุงเทพมหานคร,วัดมกุฎกษัตริยาราม กรุงเทพมหานคร ,วัดอรุณราชวราราม กรุงเทพมหานคร,วัดราชโอรสาราม กรุงเทพมหานคร,วัดพระปฐมเจดีย์ นครปฐม,วัดสุวรรณดาราราม พระนครศรีอยุธยา,วัดนิเวศน์ธรรมประวัติ พระนครศรีอยุธยา,วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ พิษณุโลกพระราชพิธีถวายผ้าพระกฐิน เป็นการพระราชพิธีที่สืบเนื่องมาตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา และสูญหายไปช่วงต้นรัตนโกสินทร์นานจวบจนกระทั่ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช โปรดฯ ให้ฟื้นฟูจารีตประเพณีเสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐิน โดยกระบวนพยุหยาตราชลมารคกระบวนใหญ่ โดยทรงเสด็จทอดผ้าพระกฐินที่วัดอรุณราชวรารามฯตั้งแต่ปี พ.ศ.2502 เป็นต้นมาเหตุที่มีพระราชหฤทัยในการฟื้นฟู ก็ด้วยเสด็จยังโรงเก็บเรือพระราชพิธีที่คลองบางกอกน้อย ทอดพระเนตรเรืออยู่ในสภาพชำรุดทรุดโทรม จึงมีพระราชดำริว่า ถ้าจะโปรดฯ ให้มีการฟื้นฟูการเสด็จระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐินโดยกระบวนพยุหยาตราชลมารคขึ้นทรงมีพระราชดำรัสว่า การฟื้นฟูคงไม่สิ้นเปลืองอะไรมากนัก เพราะกำลังคนสามารถใช้ของทหารเรือ เสื้อผ้า เครื่องแต่งกายทำขึ้นครั้งเดียวก็สามารถใช้ได้แรมปี ส่วนประโยชน์ที่ได้รับนั้นมีมากมายหลายประการ เช่น เรือพระราชพิธีต่าง ๆ อันสวยงามและทรงคุณค่าในทางศิลปะเหล่านี้ จะได้รับการดูแลรักษาให้อยู่ในสภาพที่ดีอยู่เสมอสำหรับในรัชกาลปัจจุบันมีการจัดสำหรับพระราชพิธีเสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐิน จำนวน 9 ครั้ง โดยครั้งล่าสุด จัดเมื่อ 4 พฤศจิกายน 2542 เป็นการจัดกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค (ใหญ่) เพื่อถวายผ้าพระกฐินหลวง ไปยังวัดอรุณราชวรารามฯเช่นกันซึ่งครั้งนั้นมีการใช้เรือ 52 ลำ จัดเป็น 5 ริ้วกระบวน มีเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์เป็นเรือพระที่นั่งทรง เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณรัชกาลที่ 9 เป็นเรือพระที่นั่งรอง และเรือพระที่นั่งอนันตนาคราช เป็นเรือทรงผ้าไตร อันเชิญผ้าพระกฐินส่วนกระบวนพยุหยาตราฯนั้น ในสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลปัจจุบัน มีกระบวนพยุหยาตราฯเกิดขึ้นมาแล้ว 14 ครั้ง โดยครั้งแรก เมื่อวันที่ 14 พ.ค. 2500 ซึ่งทางราชการได้จัดขึ้นเนื่องในงานฉลอง 25 พุทธศตวรรษ โดยการแสดงขบวนเรือพระราชพิธี ในวันที่ 12 มิ.ย.2549 ที่ผ่านมานั้น ทางสำนักพระราชวังให้เรียกว่า การแสดงขบวนเรือพระราชพิธี ไม่ใช่กระบวนพยุหยาตราชลมารค เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่ได้เสด็จประทับในเรือพระที่นั่ง แต่พระองค์เสด็จทอดพระเนตรร่วมกับพระราชอาคันตุกะจากต่างประเทศที่อาคารราชนาวิกสภาสำหรับงานพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายผ้าพระกฐิน ไปยังวัดอรุณราชวรารามฯ ที่จะมีขึ้นในวันที่ 5 พ.ย. 2550 นี้จึงถือเป็นกระบวนพระยุหยาตราครั้งที่ 15 ในรัชกาลปัจจุบันโดยกระบวนเรือในครั้งนี้ มีความคล้ายคลึงกับเมื่อครั้งจัดแสดงในงานฉลองการครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และยิ่งใหญ่กว่าเมื่อครั้งจัดแสดงรับผู้นำเอเปค ซึ่ง “งานพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายผ้าพระกฐิน” สำหรับการจัดกระบวนเรือในครั้งนี้นับเป็นกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค (ใหญ่) อีกครั้งหนึ่ง ที่มีการนำเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์เป็นเรือพระที่นั่งทรง เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณรัชกาลที่ 9 เป็นเรือพระที่นั่งรอง และเรือพระที่นั่งอนันตนาคราช เป็นเรือทรงผ้าไตร มีการจัดกระบวนเรือพระราชพิธีกระบวนใหญ่ ใช้เรือพระราชพิธีและเรือพระที่นั่ง รวม 52 ลำ จำนวนฝีพาย 2,082 นาย พร้อมทั้งมีการจัดทำบทกาพย์เห่เรือใหม่ เพื่อเฉลิมพระเกียรติในวโรกาสมหามงคลนี้โดยเฉพาะทั้งนี้การซ้อมใหญ่กระบวนเรือฯจะมีทั้งหมด 3 ครั้ง ครั้งที่1จัดให้มีขึ้นในวันที่ 26 ต.ค.2550 ครั้งที่ 2 จัดขึ้นในวันที่ 29 ตุลาคม 2550 และในครั้งที่ 3 จะจัดขึ้นในวันที่ 2 พฤศจิกายน 2550 ตามกำหนดการเดิม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะเป็นผู้เสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐิน โดยกระบวนพยุหยาตราชลมารค ในวันที่ 5 พ.ย. 2550 ด้วยพระองค์เอง โดยจะเริ่มเคลื่อนขบวนจากท่าวาสุกรีไปถึงวัดอรุณราชวราราม ใช้เวลาทั้งหมดไม่เกิน 45 นาทีอนึ่งมีจุดที่สามารถรับชมรับชมกระบวนเรือพระราชพิธีได้หลายจุดตามสถานที่ที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา อาทิ สวนสันติชัยปราการ ผู้ชมสามารถนั่งชมกันได้บริเวณลานกว้างริมแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งจะมีที่นั่งยาวขนานกับริมน้ำบริเวณทางเดินริมน้ำเจ้าพระยาตั้งแต่สวนสันติฯ ไปจนถึงท่าเรือพระอาทิตย์ และยาวต่อไปถึงบริเวณใต้สะพานพระปิ่นเกล้า เป็นจุดที่สามารถมองเห็นขบวนเรือได้อย่างชัดเจนมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เป็นอีกจุดหนึ่งที่สามารถชมขบวนเรือได้ จุดที่จะสามารถชมเรือพระราชพิธีได้ก็คือบริเวณโรงอาหารที่อยู่ใต้ตึกอเนกประสงค์ 2 (อาคาร 60 ปี) ติดกับคณะเศรษฐศาสตร์ ใกล้ประตู ด้านถนนพระอาทิตย์ และอีกที่หนึ่งก็คือใต้ตึกคณะศิลปศาสตร์ ใกล้ประตูท่าพระจันทร์ ส่วนฝั่งตรงข้ามก็เป็นโรงพยาบาลศิริราช ก็นับว่าเป็นทำเลถ่ายภาพที่ไม่เลวนักสำหรับลานกว้างใต้สะพานพระราม 8 (ฝั่งธนฯ)นั้น ประชาชนทั่วไปสามารถจับจองรอชมขบวนเรือได้เช่นกัน นอกจากนี้ยังมีท่าอื่นๆ คือ ท่าช้าง ท่าเตียน ท่าราชินี ซึ่งก็สามารถชมได้เช่นกัน
วันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2550
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)